ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ภพชาติ

๒๙ มี.ค. ๒๕๕๒

ภพชาติ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาพูดเรื่องธรรมะเห็นไหม เวลาเราพูดเรื่องธรรมะ พวกเรานี่ เราเป็นชาวพุทธ เราถึงหวังมรรคผลนิพพาน ถ้าพูดถึงธรรมะ เราก็ว่า เราอยากได้มรรคผล ได้นิพพาน แต่เวลาปฏิบัติเห็นไหม เวลาปฏิบัติ จิตมันออกนอกลู่นอกทาง อย่างเช่นเรื่องภพเรื่องชาติ เรื่องภพเรื่องชาตินี่นะ เราจะเน้นย้ำตลอด เพราะเรารู้อยู่ ว่าคนนี่มันชอบรู้ มันอยากรู้ตรงนี้

พออยากรู้ตรงนี้แล้วมันเป็นทางผ่านด้วย ทางผ่านเพราะอะไร ทางผ่านเพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ วิชชา ๓ นี่ บุพเพนิวาสานุสติญาณ อันนั้นนะมันอดีตชาติ มันเป็นอดีตชาติอยู่แล้ว มันเป็นทางผ่านไง

เหมือนเราจะกินไข่นี่ เราจะกินไข่ เราไม่ตอกไข่เราจะได้กินไข่ไหม ถ้าเราจะกินไข่ เราไม่ตอกไข่ แล้วเราจะเอาไข่มาทอดได้อย่างไร เปลือกไข่เรากินไม่ได้ แต่เราจะกินไข่ จิตก็เหมือนกัน ตัวจิตคือตัวพลังงานนะ แล้วสิ่งที่เวรกรรมนะ สังขารที่มันครอบงำอยู่นี่ สิ่งที่มารมันครอบงำ นั่นล่ะคือเปลือกไข่

สิ่งที่คือเปลือกไข่ ทำอย่างไรก็แล้วแต่ มันต้องผ่านเปลือกไข่นี้เข้าไป นี้เรื่องภพชาติมันคือเปลือก เพราะภพชาตินี้มันต้องหมุนเวียน เวียนตายเวียนเกิดไปอยู่แล้ว เรื่องภพเรื่องชาตินี่มันก็เหมือนเปลือกไข่นี่ แล้วเราจะเอาไข่มาทำอาหารนี่ เราหยิบที่ไข่ เราจะไม่โดนเปลือกไข่มันจะเป็นไปได้อย่างไร

ทีนี้ พอหยิบไปที่เปลือกไข่ เราก็คิดว่าเปลือกไข่คือไข่ เพราะเปลือกไข่มันแข็งใช่ไหม แต่ในไข่นี่มันเป็นวุ้น มันจับต้องไม่ได้ ถ้ามันไม่มีเปลือกบรรจุมันมา นี่ตัวจิตคือตัวพลังงานตัวนั้น ทีนี้ตัวเปลือกไข่นี่ คือเรื่องภพเรื่องชาติ เรื่องเวรเรื่องกรรม พอมันจะเข้าไปถึงเรื่องธรรมะนี่มันก็ต้องผ่านบุพเพนิวาสานุสติญาณ

แต่คนเวลามันเข้าไปรู้แล้ว มันไปติดเข้า พอไปติดเข้า ทุกคนก็อยากรู้ตรงนี้ๆ แต่ถ้าเป็นความจริงนะ มันต้องรู้ มันรู้เอง พอมันรู้เองขึ้นมานี่ สิ่งที่มันรู้นะ อย่างเช่นหลวงปู่ลีนี่ ท่านเล่าต่อๆ กันมาเห็นไหม เวลาท่านเห็น ท่านเห็นไปหมดล่ะ ว่าหลวงตานี่เป็นราชา แต่ท่านไม่ระบุว่าเป็นใคร

ถ้าระบุแล้วมันเป็นประเด็น พอระบุแล้วเป็นประเด็นมีการโต้แย้ง เพราะอะไรรู้ไหม ดูสิ ดูอย่างเวลาเขาเข้าทรงกันนะ ศาลอะไรนะ ศาลท่านพ่อ ร.๕ อะไรนะ ดูสิ ในเมืองไทยเขาทำวิจัยนะ ตอนนี้ทางวิชาการเขาทำวิจัย

ศาลเสด็จพ่อ ร. ๕ มีอยู่ สองหมื่นกว่าศาล ทีนี้สองหมื่นกว่าศาลนี่ จิตหนึ่ง จิตหนึ่ง ถ้าพูดถึงถ้าศาลนี่มันต้องมี สมมุตินะ อันนี้เราไม่เชื่อ สมมุติว่าถ้าเป็นการเข้าทรง ร. ๕ จริง มันต้องมีศาลเดียว เพราะจิตหนึ่ง จิตนั้นจะลงประทับที่ศาลไหน ก็ศาลนั้นเป็นของจริง อีกสองหมื่นกว่าศาลนั้นปลอมหมดเลย

ทุกคนอ้างว่า เข้าทรงเสด็จพ่อ ร. ๕ แล้วมันเป็นไปได้ไหม เราบอกเลย ไม่ใช่ด้วย เพราะเสด็จพ่อ ร. ๕ เกิดแล้ว เกิดเป็นมนุษย์อยู่ จิตอันนั้นไม่มี จิตที่ยังหมุนเวียนอยู่ ที่มาประทับทรงไม่มี ทีนี้สิ่งที่ไม่มี ทำไมรูปเคารพเห็นไหม ที่พระรูปทรงม้าเห็นไหม ทำไมมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล่ะ ทำไมมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำไมเวลากราบขอพรสิ่งใด จะได้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ล่ะ

เราดูโบสถ์ไหม โบสถ์นี่เป็นที่เคารพเห็นไหม โบสถ์นี่เป็นที่เคารพมีพระประธาน ทำไมเขาสร้างรูปยักษ์ไว้หน้าโบสถ์ล่ะ รูปยักษ์สร้างไว้หน้าโบสถ์ทำไม เขาให้รักษาใช่ไหม ถ้าพูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ มันมีเทวดารักษา มันมีจิตวิญญาณคุ้มครอง สิ่งที่ทำประโยชน์นะมันมีไปหมดล่ะ แล้วดวงวิญญาณดวงไหนมันเป็นความจริง จิตดวงไหนมันเป็นความจริง แล้วเราเอาอะไรพิสูจน์กัน

นี่เรื่องภพเรื่องชาติ มันเป็นความจริงอันหนึ่ง แล้วมันเป็นหนึ่งเดียว แต่เพราะพวกเรานี่ ประสาเรานะ เราดูจิตของพวกเรานี่ ความรู้สึกของเรานี่ เหมือนเด็กน้อย เด็กน้อยนี่ดูสิเห็นไหม เรามีลูกเล็กๆ เห็นไหม แม่นี่อะไร แม่นี่อะไร มันจะถามทั้งวันเลย เด็กเล็กๆ นี่มันจะถามทั้งวันล่ะ นั่นอะไร นี่อะไร

จิตเรานะเวลาปฏิบัติไป มันเป็นแบบนั้นล่ะ มันเหมือนเด็กน้อย พอเด็กน้อยนี่ มันไปเจอสิ่งใด มันไม่เข้าใจอะไรเลย มันจะไม่เข้าใจอะไรหรอก พอเจออะไรเข้า มันก็ว่าเป็นความจริง เป็นความจริง แต่ลองพัฒนาไปสิ ลองพัฒนาไป ลองปฏิบัติไปนะ แล้วเรื่องอย่างนี้ นี่เราจะบอกว่านะ สิ่งที่เราต้องรู้เพราะอะไร

สิ่งที่เราต้องรู้เพราะว่า ทุกคนนี่ ลังเลสงสัยในตัวเราไหม ที่เรามีกิเลสกันอยู่นี่ อวิชชาครอบงำ ตัวเราเองไม่รู้จักตัวเราเอง เรารู้จักแต่ว่า แม่ตั้งให้ว่านาย ก. นาย ข. นาย ง. แม่ตั้งให้ แต่ตัวเองไม่รู้จักตัวเอง พอทำสมาธิเข้าไปนะ นั่นล่ะคือตัวตนของเรา เพราะจิตเป็นสมาธิ ตัวเองยังไม่รู้จักตัวเอง เพราะมันลังเลสงสัยในตัวเอง มันถึงเป็นอวิชชาครอบงำเราอยู่

ตัวเองยังไม่รู้จักตัวเองเลย แล้วสิ่งที่ลึกกว่านะ คืออดีตชาติ ทุกคนนี่ ไอ้เรื่องความอยากรู้นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา พอเรื่องความอยากรู้เป็นเรื่องธรรมดานี่ มันจะชักนำให้เราลังเลสงสัย ชักนำให้เราไปยึดติดตรงนั้นว่า ใครรู้ใครเห็น คิดว่าจะมาปลดเปลื้องความลังเลสงสัยของตัวไง

สมมุติว่าเรารู้ว่าเมื่อชาติที่แล้ว อ้าว แล้วชาติก่อนล่ะ แล้วชาติโน้นล่ะ แล้วชาติต่อไปล่ะ อ้าวแล้วชาติไหนล่ะ แล้วชาติไหนเป็นชาติจริง ชาติไหนเป็นชาติปลอม อ้าว แล้วเอาชาติไหน มันมีจริงนะ มันมีจริง มันมีจริงเพราะอะไรรู้ไหม

สังเกตได้ไหม เวลาเราเน้นเรื่อง เวลาเราเทศน์นี่ เราจะบอกว่าพันธุกรรมทางจิตตลอด พันธุกรรมทางจิตตลอด เพราะอดีตชาติมันส่งความคิดเรามา

ความคิด ความนึก ความเป็นเรานี่ ความยึดมั่นถือมั่นของคนแต่ละคนนี่ มันมาจากพันธุกรรมของจิตแต่ละดวง ที่มันสร้างมาทั้งนั้นเลย

พันธุกรรมทางจิตนี่คือ บุพเพนิวาสานุสติญาณ นี้ล่ะคืออดีตชาติ แล้วพอมาในปัจจุบัน ในปัจจุบันธรรมะนี่ มันแก้เข้ามาที่นี่ พอมันแก้เข้ามาที่นี่ ดูสิ สิ่งที่รู้ที่เห็น ถ้าไม่มีพันธุกรรมทางจิต ทำไมคนเราเกิดมาอำนาจวาสนาต่างกัน แล้วพอเกิดมานะ คนที่มีอำนาจวาสนานะ คนที่เกิดมาแล้วมีสถานะที่ดีนี่ โทษนะ โง่เยอะแยะเลย

เกิดมานะ มันมีวาสนามากนะ มันมีอำนาจด้วยนะ แต่โคตรโง่เลย คนมีวาสนามันต้องฉลาดสิวะ ทำไมมันโง่ขนาดนั้นล่ะ อำนาจวาสนาคือการกระทำ คือบุญกุศล ไอ้โง่ไอ้ฉลาดนี่คือกรรมนะ กรรมที่มันทำมานี่ เรามีอำนาจวาสนาหรือเราทำดีมา เราได้สถานะ คนที่มีวาสนาอย่างนี้ คนฉลาดก็มีคนโง่ก็มี คนปานกลางก็มี ตัวแปรนี่มันเยอะมาก พอคำว่าตัวแปรเยอะมาก พอเวลาภาวนามันจะมีปัญหาเรื่องอย่างนี้ เข้ามาเยอะมากเลย

ทีนี้ถ้ามันมีปัญหาเยอะมากๆ นี่ เหมือนเรานี่ เรามีอำนาจวาสนา เกิดในสถานะที่ดี สถานะคือว่าครอบครัวที่ดี คือเกิดมามีสถานะ มีอำนาจวาสนา มีอำนาจ แต่อำนาจเห็นไหม บางคนใช้อำนาจในทางที่ถูก บางคนใช้อำนาจในทางที่ผิด บางคนมีอำนาจมานะ คนที่ฉลาดนะ อำนาจมีไว้เพื่อประดับ อำนาจไม่ได้มีไว้เพื่อใช้

ถ้าใช้อำนาจเมื่อไหร่นะ อำนาจจะน้อยไปเรื่อยๆ อำนาจนี่ ถ้าเรามีอำนาจอยู่ทุกคนจะเกรงใจ ทุกคนจะกลัว แต่อำนาจลองใช้ไปแล้วนะ ยิ่งเราใช้อำนาจไปนี่ สังเกตสิ เวลาเราทำอะไรไปนี่ มันจะบั่นทอนความเชื่อถือเราไปเรื่อยๆ มันจะบั่นทอนอำนาจเราเองนี่ ไปเรื่อยๆ

ทีนี้ถ้าอำนาจเราไม่ใช้ เรามีอำนาจแต่เราไม่ใช้อำนาจ เรารักษาอำนาจนั้นไว้ เราจะมีอำนาจตลอดไป ถ้าเรามีอำนาจนะ เราใช้อำนาจบ่อยๆ นะ การใช้อำนาจออกไปนี่ ทุกคนโดนอำนาจนั้นไปกระทำ ทุกคนนั้นคิดอย่างไร แล้วสังคมที่เขาเห็นอยู่ ที่เราใช้อำนาจที่ถูกหรือที่ผิดนี่ เขาจะคิดอย่างไร

ดูอย่าง ในหลวงเรานี่เห็นไหม ในหลวงนี่เปรียบเหมือนแผ่นดิน แผ่นดินนี่นะ ใครจะเหยียบ ใครจะย่ำ ใครจะทำอย่างไรก็ได้ แต่ทุกคนเคารพนะ ในหลวงเคยออกมาแอะเรื่องอะไรไหม อะไรไม่พอใจก็เงียบ อะไรเจ็บปวดก็เงียบ อำนาจไม่ได้ใช้เลยนะ อำนาจเต็ม อำนาจมีอยู่เต็มไม่ได้ใช้เลย

แต่ลองใช้สิ พอใช้ไปแล้วมันมีสองฝ่ายอยู่โดยธรรมดา คือคนที่เห็นด้วยและคนที่ไม่เห็นด้วย ไอ้คนที่ว่าเห็นด้วย ก็ว่าถูกต้อง ไอ้คนที่ไม่เห็นด้วยมันก็ทอนอำนาจนั้นไป ทอนอำนาจนั้นไป นี่เราจะบอกว่า คนที่มีอำนาจวาสนา ทำไมบางคนถึงไม่มีปัญญาเอาเลย ทำไมบางคนมีปัญญามาก

นี่พอมีปัญญานี่ มันทำให้เราสงวนรักษากลับมาข้างในเรานะ กลับมาในการประพฤติปฏิบัติของเรา คำว่าประพฤติปฏิบัตินี่ ถ้าจิตไม่ละเอียดมันไม่ประพฤติปฏิบัตินะ มันจะออกหาข้างนอก อย่างที่ว่านี่ อยากรู้อดีตชาตินี่ ความลังเลสงสัยอันนี้ ทุกคนก็อยากรู้อยากเห็น

ถ้าอยากรู้อยากเห็นนะ เห็นแล้วมันได้อะไร ถ้าคนที่มีหลักนะ เห็นแล้วนะ มันเป็นธรรมะข้อหนึ่ง มันเตือนใจเราไง อย่างที่ว่านี่ เป็นจักรพรรดิ นี่ดูอย่างพระเจ้าอโศกมหาราช พระเจ้าอโศกมหาราชนะ นี่เวลาใจที่เป็นธรรมนะ เวลาอ่านธรรมบท อ่านแล้วมันคิดมาก พระเจ้าอโศกมหาราชนี่ ทีแรกมีอำนาจมาก ด้วยอำนาจด้วยกองทัพ ยึดหมด ฆ่าหมด ยึดหมดเลย

สุดท้ายแล้ว เพราะอำนาจวาสนา ไปเห็นถึงว่า ฝ่ายยึดจะได้เมืองนี่ คนตายมหาศาลทั้งนั้นนะ เราไม่เอาอีกแล้ว ก็เลยใช้ธรรม เห็นไหม ใช้ธรรมให้ทุกคนเห็นดีเห็นงามด้วย สิ่งนี้เผยแผ่ไปๆ สุดท้ายนะ ทำแต่บุญทำแต่บุญไง ทีนี้พอตอนใกล้จะเสียชีวิต เพราะทำบุญมาก พอทำบุญมากท้องพระคลังข้างที่มันน้อยไง

ทีนี้พอสั่งให้ทำ อำมาตย์ไม่ยอมทำ ท่านก็โกรธ เพราะติดบุญ ติดดี พอติดดีตายไปพร้อมกับความโกรธ ไปเกิดเป็นงูเหลือม ในธรรมบทว่าไปเกิดเป็นงูเหลือม ก่อนที่จะตายนะ ไปถามอาจารย์ของตัวว่า เรานี่ สร้างวัดมา ๘๔,๐๐๐ วัด เป็นญาติกับศาสนาหรือยัง เพราะอยากเป็นญาติกับศาสนามาก อาจารย์บอก ยัง

ถ้าอยากเป็นญาติกับศาสนาต้องทำอย่างไร ต้องเอาสายเลือด ลูกนี่ สายเลือดในอก เอาเลือดเนื้อเชื้อไขเรา เข้ามาในศาสนา จะได้เป็นญาติกับศาสนา ก็ไปขอร้องให้ พระมหินทร์ กับน้องสาวบวช เห็นไหม พระมหินทร์ก็มาบวช บวชก็มาเป็นพระอรหันต์

เด็กมันก็ไม่ได้มีความตั้งใจมาก แต่พ่อไปพูดให้บวช พอบวชเสร็จแล้วนี่ได้เป็นพระอรหันต์ แล้วมาเผยแผ่ ส่งมาที่ลังกา ลังกานี่ส่งมาสององค์นี่ เป็นลูกของพระเจ้าอโศก ส่งมาที่ลังกาไง ทีนี้พอมาเผยแผ่ธรรมนี่ พระอรหันต์มีฤทธิ์มีเดชมาก เวลาเข้าสมาบัติไง พระอรหันต์ไง มันมีความสุขอยู่แล้ว แล้วเข้าสมาบัติ

พอเข้าสมาบัติมันมีความสุขมาก พระมหินทร์มีความสุขมาก โอ้โฮ วิมุตติสุข มันไม่มีอะไรในโลกนี้เทียบ สุขมาก สุขนี้ได้แต่ไหนมา สุขนี้มันได้มาอย่างไร ได้มาจากพ่อขอให้บวช ถ้าพ่อไม่ขอให้บวชนะ เราก็จะไม่ได้สุขอย่างนี้หรอก เราก็จะอยู่กับทางโลกนั่นล่ะ สุขนี้ได้มาจากพ่อ พ่อเป็นคนชี้นำให้ แล้วพ่อนี่ พระเจ้าอโศกตายไปแล้วนี่ พ่ออยู่ไหน กำหนดจิตดู งูเหลือมนะ มันอยู่ในทะเล มันกำลังหาเหยื่อของมันนะ มีฤทธิ์นะ ไปถึงเลย กำหนดด้วยฤทธิ์เลย

“พ่อ พ่อสร้างบุญมาตั้งเยอะนะ แล้วพ่อมาไล่เหยื่อ มาฆ่าสัตว์อย่างนี้ ทำอย่างนี้ได้อย่างไร”

นี่มันชาติแรก ชาติที่พึ่งตายจากพระเจ้าอโศกมา มันก็สะท้อนใจไง สัตว์มันยังเข้าใจนะ ทีนี้ก็จำศีล พอสัตว์จำศีลนี่ งูไม่กินอาหารมันอยู่ได้ไหม มันก็ตาย พอตายนี่ ตอนที่เป็นพระเจ้าอโศกตายด้วยความโกรธนะ สร้างบุญกุศลมา สุดท้ายตายด้วยความโกรธ

พอตายก็มาเกิด มาเกิดที่ลังกานี่ เกิดมาก็เกิดเป็นชาวบ้านนอกนี่ แล้วได้บวช บวชเสร็จแล้วนี่ เราจำชื่อไม่ได้ เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์นะ อยู่ในธรรมบทที่หลวงตาพูดบ่อย พอเป็นพระอรหันต์ปั๊บนี่

พวกกษัตริย์สมัยที่ลังกานี่เขา ทุกคนอำมาตย์เขาก็พยายามจะดึงกษัตริย์ไปหาอาจารย์ของตัวไง นี่ อดีตพระเจ้าอโศกก็เป็นพระอรหันต์ ลูกศิษย์ก็ไปเอากษัตริย์มาหาเหมือนกัน แต่มาถึงนะ พระอรหันต์ อดีตพระเจ้าอโศกนะ ดีดมืออย่างนี้ เป๊าะๆๆ กษัตริย์ คิดดูสิ เขาเป็นกษัตริย์ เข้าไปนี่ พระก็ต้องมีความเรียบร้อยพอสมควรนะ

กษัตริย์นะ สมัยโบราณกษัตริย์นี่ สมบูรณาญาสิทธิราชย์นี่ฆ่าได้หมด ตัดหัวได้ทั้งนั้นนะ แล้วไปถึงนี่ พระกำลังนั่งดีดนิ้วอยู่ เป๊าะๆๆ นี่ รับไม่ได้ รับไม่ได้ก็กลับ รับไม่ได้ รับสภาพข้างนอกไม่ได้ พอกลับไปแล้วนี่ ถึงเวลาก็ไม่เชื่อ พออำมาตย์นั้นเขากลับมา กลับมาอยู่ในธรรมบท มาเฝ้ามาหาอาจารย์ของตัว มาหาพระอรหันต์นะ

บอกอาจารย์ “อาจารย์ทำไมทำอย่างนั้นล่ะ” เพราะเขารู้อยู่ว่าอาจารย์เขาไม่เป็นอย่างนั้น แต่เวลากษัตริย์มาแสดงตัวให้กษัตริย์ เห็นอย่างนั้น ถามว่าทำไมดีดนิ้วอย่างนั้นล่ะ มันเหมือนเด็กๆ นี่ อดีตพระเจ้าอโศกบอกว่า

“ธรรมดาอยู่ใกล้กษัตริย์นี่มันอันตราย ถ้าพูดถึงทำดีก็ได้ดีมาก แต่ถ้าทำผิดใจนี่ กษัตริย์นะ ก็จะให้โทษประหารชีวิตได้ แต่สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ตรงนั้น สิ่งที่สำคัญคือว่าท่านจะนิพพาน คือชีวิตเรามันจะล่วงตาย ภายในวันสองวันนี้ ถ้าพูดไปนี่ มันก็มีการโต้แย้ง เพราะคำพูดของคน แล้วกษัตริย์ ฟังแล้วมันอาจจะแบบว่าใจไม่ลงไง เราจะนิพพานอยู่แล้ว”

นี่พูดถึงสร้างบุญมากนะ พอพูดว่าจะนิพพาน พูดอย่างนั้นจบ อำมาตย์ก็กลับ พอวันรุ่ง สองวันรุ่งก็นิพพาน พอนิพพานพอตายนะ นี่มันจะไปเข้ากับ เราจะเทศน์บ่อยเรื่องอย่างนี้ เข้ากับพระสมัยพุทธกาลที่บวชนะ พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลนะ เอหิภิกขุ พอสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วขอบวชกับพระพุทธเจ้านี่

พระพุทธเจ้าบอก “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด” มันจะมีบริขาร ๘ นี่เป็นทิพย์ ลอยมากลางอากาศ เราเชื่อกันไหม ลอยมากลางอากาศนะ คนที่สร้างมานี่ มันจะมีบริขารทิพย์นี่ลอยมา แล้วจะได้ออกบวชด้วยบริขาร ๘ นั้น แต่มีหนเดียว นี่คือบุญของแต่ละคนที่สร้างมา

พระพาหิยะ ที่ว่าขอบวชกับพระพุทธเจ้านะ ฟังธรรมหนเดียวเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน ขอบวช พระพุทธเจ้าบอกว่า ก็เธอไม่มีบริขารนะ เธอต้องหาบริขารมาก่อนสิ พระอรหันต์นะ ไปหาบริขารอยู่นะ ควายขวิดตายเลย ดูสิ พระอรหันต์เหมือนกัน แต่บารมีอำนาจวาสนาไม่เหมือนกัน

อดีตพระเจ้าอโศกนี่ก็เหมือนกัน เพราะทำบุญมามากไง พอตายคืนนั้นปั๊บ กายนี่มันลอยขึ้นไปบนอากาศนะ ศพนี่ลอยขึ้นไปบนอากาศ โลงทองคำนะ ลอยมากลางอากาศ โลงทองคำนั้น กับศพอดีตพระเจ้าอโศก เข้าไปอยู่ในโลงทองคำนั้น แล้วฝาโลงทองคำก็ปิด ปิดเสร็จแล้วนี่ ลอยไปราชวังของกษัตริย์ที่มาหาที่ไม่เชื่อนะ ลอยไป ๓ รอบ พอลอยไป ๓ รอบนี่

อำมาตย์นั้นก็รีบไปตามกษัตริย์ออกมาดู บอกว่านี่ มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นแล้วนี่ มีโลงทองคำลอยอยู่กลางอากาศให้เราเห็น กษัตริย์นั้นก็รีบออกมาดู ทีแรกไม่เชื่อ มาเรียกบอกนี่ อาจารย์ พระองค์นั้นนะ ตายแล้ว แล้วตอนนี้นี่มีโลงทองคำมาลอย มันจะเป็นไปได้อย่างไร ก็ไปเห็นมายังดีดนิ้วอยู่ เป๊าะๆ เลยนะ

คือจิตใจไม่เชื่อเลยนะ มันเป็นไปไม่ได้ คือไม่เชื่อเลย มันขัดแย้ง คือหัวใจมันไม่เชื่อ แต่พอออกมาดู โอ้โฮ เห็นลอยอยู่กลางอากาศ หมุนลอยอยู่ ๓ รอบ ก้มลงกราบเลยนะ ก้มลงกราบแล้วกราบอีกนะ นี่พูดถึงการสร้างบุญญาธิการมา

สิ่งที่สร้างมานี่มันมีของมัน แต่มันจะให้ผลตอนไหนนี่ กรรมเป็นอจินไตย ทำดีขนาดไหนนี่มันเป็นความดี นี่พูดถึงเรื่องภพชาตินะ ภพชาตินี่มีจริง อดีตชาตินี่จับต้องได้หมด จับต้องได้เรายืนยัน

ยืนยันคือว่า ใจของพวกเรานี่ ในความรู้สึกอันนี้มันเป็นโปรแกรม โปรแกรมนี่มันซับอยู่ที่นี่ ร่างกายนี่เหมือนๆ กับเครื่องคอมพิวเตอร์เห็นไหม โปรแกรมอันนี้มันมีอยู่ โปรแกรมอันนี้ถ้าเราป้อนข้อมูลเข้าไป มันก็เก็บไว้ในนั้นตลอดไป ดีหรือชั่ว การกระทำของเรานี่ มันอยู่ในโปรแกรมอันนั้นหมด และมันจะให้ผลเมื่อไหร่เท่านั้นเอง

ถ้าพูดอย่างนี้นะ อย่างที่พูดเมื่อวานนี้ บอกถ้าพูดเป็นของตายตัวอย่างนี้ มันเป็นฮินดู เขาว่าเป็นฮินดู ฮินดู จิตนี้เป็นของคงที่ เป็นอาตมัน มันต้องไปอยู่กับอาตมัน นั่นเป็นฮินดูนะ แต่ศาสนาพุทธนี่ไม่ใช่!

ศาสนาพุทธบอกจิตนี่มีอยู่ ปฏิสนธิจิตนี่มีอยู่ แต่พระพุทธเจ้าสอนถึงอนัตตา สอนถึงการกระทำของจิต จิตนี่มันมีการกระทำของมัน แล้วมันสะอาดบริสุทธิ์ของมัน ไม่ใช่กลับไปอยู่ที่อาตมัน ไม่ใช่กลับไปอยู่ที่ตัวจิตนั้น ตัวจิตนี่เป็นปฏิสนธิจิต มันเป็นฐีติจิต มันจิตเป็นพื้นฐาน มันเป็นภพ สิ่งที่มันเป็นภพนะ ถ้ามีการกระทำ มีมรรคญาณนี่

มรรคญาณมันจะเข้ามาทำลาย อย่างที่อดีตชาตินี่ มันไปรู้ด้วยสมาธิ รู้ด้วยเจโต รู้ด้วยความรู้ความเห็น รู้ด้วยพลังงานไง พลังงานนี่ ย้อนกลับเข้าไปในข้อมูลนะ มันก็ไปเห็นข้อมูลนั้นใช่ไหม ข้อมูลคือโปรแกรมในหัวใจ ถ้ามันย้อนเข้าไป แต่พลังงานตัวนี้ มันทำให้สะอาดไม่ได้ ถ้ามันไม่มีปัญญา

ทีนี้ถ้าเกิดมันเป็นปัญญาขึ้นมานี่ นี่ปัญญาวิมุตติ ที่ว่าคำว่าเป็นปัญญาๆ นี่ ปัญญาวิมุตติ ปัญญาคือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาวิมุตติจะเข้ามาชำระกิเลส ชำระกิเลส คือชำระตัวพลังงาน ในพลังงานนั้นมันมีข้อมูลอยู่ ทีนี้มีข้อมูลอยู่นี่ ข้อมูลนี่เป็นข้อมูลในธรรมชาตินะ ดูสิ

“นรกสวรรค์นี่ พระพุทธเจ้าบอกว่ามันมีอยู่แต่ดั้งเดิม สิ่งทุกอย่างมันมีอยู่แต่ดั้งเดิม”

พระพุทธเจ้าไม่ได้สร้างสวรรค์มาหลอกใคร ไม่ได้สร้างนรกมาหลอกใคร ภพชาติมันมีของมัน โดยธรรมชาติของมัน อย่างนี้ ข้อมูลนี่มันเป็นข้อมูลใช่ไหม แต่กิเลสนะ กิเลสความเห็นผิด อวิชชานี่มันใช้ข้อมูลนั้น ข้อมูลนี่ทำดีก็คือทำดี ทำดีในอดีตชาติ ทำชั่วในอดีตชาติ มันแก้ไขอะไรได้ มันเป็นข้อมูลคือการที่เรารับรู้ประวัติศาสตร์มันแก้ไขอะไรได้ แต่มันให้ผล

ให้ผลคือเป็นพันธุกรรมทางจิตที่ว่านี้ไง ทำชั่วมันให้ผลเป็นชั่ว ทำดีมันให้ผลเป็นดี แต่ผลที่มันให้มาคือผล ผลที่ให้มาคือวิบาก แต่ในปัจจุบันนี้ ถ้าเรามีปัญญาของเรานี่ ปัญญาอันนี้มันจะไปแก้ไข แก้ไขที่ไหน แก้ไขที่ตัวโปรแกรม ตัวโปรแกรมมันเป็นตัวโปรแกรมเฉยๆ นะ แต่ตัวอวิชชา ตัวตัณหา ตัวกิเลสที่มันใช้ข้อมูลนะ ตัวอวิชชาใช้ข้อมูลนะ

อย่างที่เราบอกว่า คนมีอำนาจวาสนา มาเกิดเป็นคนที่มีอำนาจวาสนามาก ทำไมมันโง่เขลาเบาปัญญานัก ทำไมบางคนมันเกิดมามีวาสนาเหมือนกัน ทำไมมันมีปัญญามากนัก แล้วปัญญาอย่างนี้ คนมีอำนาจวาสนา คนทุกข์ คนทุคตะเข็ญใจ เขาก็มีปัญญาได้เหมือนกัน ปัญญานี่มีได้ทุกคนล่ะ คนจะร่ำรวย คนทุกข์ คนจน ปัญญามันเกิดได้ทั้งนั้นล่ะ แต่อำนาจวาสนาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ปัญญามันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

นี่เวลาถ้ามันมีปัญญาเข้ามาเห็นไหม นี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนาเราที่จะมาแก้กิเลสนะ มันไม่ใช่ไปแก้ที่ภพที่ชาติ ภพชาตินี่มันแก้ไขอะไรไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่สร้างมา สิ่งที่สร้างมาแล้ว แต่ในปัจจุบันนี้ธรรมะมันจะมาแก้ไขตรงนี้ไง มันถึงว่าเป็นปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตตินี่ไง มันไม่มีธรรมชาติวิมุตติ

ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติวิมุตติมันไม่มี มันเป็นไปไม่ได้หรอก ธรรมดา ธรรมชาตินะ ผิดทั้งนั้นล่ะ มันไม่มีเหตุมีผล มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันติดกันไปหมดเห็นไหม เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราไปศึกษาธรรมะกันก่อนไง เราไปศึกษาธรรมะ แล้วเราว่าธรรมะต้องเป็นอย่างนั้น

นี่เรื่องภพเรื่องชาตินะ เรื่องภพเรื่องชาติ คนที่มานั่งกันอยู่ที่นี่นะ มันมีที่มาทั้งนั้น แต่เวลาเราคุยกันทางวิทยาศาสตร์ นี่เรามาจากไหน เราก็เกิดมาจากพ่อแม่ ทุกคนสืบไปได้แค่พ่อแม่ แล้วพ่อแม่เกิดมาจากไหน พ่อแม่ก็เกิดมาจากพ่อแม่ เกิดมาจากปู่ย่าตายาย ปู่ย่าตายายเกิดมาจากไหน ปู่ย่าตายายก็เกิดมาจากผู้เฒ่าผู้แก่ นี่เกิดๆ กันมา

คิดดูสิว่า พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หมอเฉดนะ หมอเฉดออกมาพูดเอง เราเพิ่งดูพันธมิตรนี่ หมอเฉดไปพูดที่ พูดที่จำลองเมืองกาญจน์นะ เขาบอกว่า เขานะเขาเกิดมานี่ พ่อเขามีน้องชายคนหนึ่ง แล้วพอเกิดมานี่น้องชายนี่เป็นแพทย์แผนไทย เขาบอกว่า เวลาเขาเกิดมานี่ พ่อเขานะ ก็เป็นหลานของปู่เขา มีพี่มีน้องสองคน แล้วพ่อเขานี่เกิดจากปู่เขา แล้วเขาบอกว่า ตัวหมอเฉดแกพูดเอง ว่าตัวแกเองนะ คือตัวปู่ เขาเองนี่ หมอเฉดนี่เขาเป็นปู่ ปู่นี่มีพ่อเขา แล้วพ่อของพ่อ มาเกิดเป็นเขา

แล้วเขาบอกว่า น้าชาย น้าชายคือน้องของพ่อ บอกกับพ่อ บอกว่า ลูกเอ็งนี่คือพ่อมาเกิด แล้วเขาบอกว่า ถ้าไม่เชื่อ นี่หมอเฉดเล่าเองนะ ตัวแกเองเล่าเอง ประสบการณ์ของแกเอง ตอนนั้นแกยังไร้เดียงสา ยังเด็กอยู่นี่ เขาก็มาพิสูจน์กัน มาคุยกับแกนี่แหละ อันนี้แกพูดเอง เราดูในทีวี แกบอกว่า ตัวพ่อก็ไม่เชื่อ พ่อหมอเฉดนี่ไม่เชื่อว่าพ่อของตัวมาเกิดเป็นลูก ไม่เชื่อน้าก็ถามให้พิสูจน์

ก็เอาตัวหมอเฉดมานั่ง ยังไร้เดียงสาอยู่ ถามว่าเวลาตายศพตั้งตรงไหน ตรงนั้น เป็นอะไรตาย บอกได้หมดเลย เด็กไร้เดียงสานี่บอกได้หมดเลย เขาถึงเชื่อ พอเชื่อเสร็จนี่ หมอเฉดเล่าเองนะ พ่ออยากจะแอ็ค ว่าพ่อเขาเองนี่พอเชื่อแล้วก็อยากจะแอ็คใช่ไหม

พอเขาโตขึ้นมา หมอเฉดมีอายุขึ้นมา เพื่อนของพ่อมา ก็จะอวดว่าลูกตัวเองนี่ระลึกอดีตชาติได้ ก็ถามต่อหน้าเพื่อน ว่าก่อนนั้นตายเพราะเหตุใด พอมันโตขึ้นมา โตขึ้นมานี่มันเริ่มเป็นปัจจุบัน นึกไม่ออก แต่ตอนไร้เดียงสานี่ แกพูดเองเลย แล้วแกบอกด้วยนะ พ่อมีภรรยาหลายคน

ทีนี้พอมีภรรยาหลายคนนี่ คนที่เป็นแม่นี่ก็อายุมากใช่ไหม แต่ภรรยาน้อยนี่ มันก็ยังเป็นเด็กๆ อยู่ พอเด็กอยู่ ตอนที่แกเป็นเด็กแกไปโรงเรียนนี่ เพราะว่าแม่เลี้ยงยังอยู่ใช่ไหม แม่เลี้ยงนี่มันก็เหมือนย่า ย่าใช่ไหม ก็ทำอาหารให้ พอทำอาหารปิ่นโตไปโรงเรียนไง แกบอกตัวแกเองพูดเอง

พอมันไม่ทันใจเด็ก มันเรียกย่า อีๆ เรียกเหมือนกับว่าตัวเองยังเป็นปู่อยู่นะอีนี่ทำไมช้า อีนี่ เด็กนะ มาเรียกย่าอีเลยแหละ เพราะคำว่าอีนี่ มันเรียกในสถานะของที่ว่า เขาเคยเป็นสามีภรรยากันมา นี่ตัวหมอเฉดพูดเอง เราจะบอกว่า จากปู่ มาเกิดเป็นลูกไง เราจะบอกว่าเห็นไหม เราจะบอกเมื่อกี้ว่าเราสืบกันได้ว่าแค่เราเกิด เราเกิด ที่พูดนี่เพราะว่า หมอเฉดแกออกมาพูดเป็นสาธารณะนะ

ทีนี้ที่เอามาพูดเพื่อให้เห็นว่า แกพูดเอง ตัวแกเอง พูดถึงประสบการณ์ของตัวแกเอง พูดถึงจิตวิญญาณของตัวแกเอง แล้วเราก็มาเทียบถึงว่า ในการเกิดไง ในการเกิดนี่ ภพชาตินี่ มันซ้อนกันมา เราจะบอกว่า เราสืบกันได้ว่าเราเกิดมาจากพ่อแม่ แล้วเราคิดสิ พ่อแม่ก็พ่อแม่เรา พ่อแม่ก็เวียนกลับมาเกิดเป็นลูกเรา ก็อย่างตัวหมอเฉดนี่แหละ

เขาเองเขามีลูก แล้วเขาเอง ตัวปู่เขาเองก็มาเกิดกับลูกเขาเอง นี่จิตวิญญาณมันทับซ้อน ภพชาติมันทับซ้อน แล้วจิตดวงไหนเป็นพ่อเป็นแม่ เราเกิดจากใคร ใครเป็นพ่อใครเป็นแม่ ใครผลัดเปลี่ยนกันมาอย่างไร เราก็ไม่รู้ แต่ถ้ารู้เรื่องอดีตชาติไป ถ้ารู้เรื่องอย่างนี้แล้ว มันสะเทือนใจไหม เวียนตายเวียนเกิด ผลัดกันไปผลัดกันมาอยู่อย่างนี้เหรอ

ทีนี้ถ้ามาปัจจุบันนี้ เรามาใช้ชีวิตของเรานี่ เรื่องภพเรื่องชาตินี่ยืนยันว่ามี ถ้ายืนยันว่ามี ประสาเรานะ เราจะเอามือนี่เหนี่ยวรั้งพระอาทิตย์ไว้ไม่ได้หรอก พระอาทิตย์นี่ เราไม่สามารถเอาอะไรเหนี่ยวรั้งมันได้ แรงขับของกรรม แรงขับของกรรม การเวียนตายเวียนเกิดของใจเรานี่ เราจะเอาอะไรไปเหนี่ยวรั้งมันไว้ไม่ได้

ทีนี้สิ่งที่เหนี่ยวรั้งมันไม่ได้นี่ เราถึงมาศึกษาศาสนากันไง เราศึกษาศาสนาแล้วนี่ เราถึงทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบขึ้นมานะ แล้วใช้ปัญญา ปัญญาในการชำระ ในการทำความสะอาดของใจนี้ ใจนี้สะอาดบริสุทธิ์ได้ ถ้าใจนี้สะอาดบริสุทธิ์แรงขับ กรรมที่จะพาไปเกิดอีกนี้มันไม่มี

แต่สิ่งที่เป็นจิตอยู่มี เห็นไหม จิตที่ว่า ดูธรรมะเป็นอย่างธรรมชาติ ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ดูไปมันจะเป็นธรรม ไม่เป็น!ๆ เพราะดูไปนี่ มันก็เหมือนพลังงาน พลังงานจะหดตัวเข้ามา พอพลังงานหดตัวเข้ามาเขาว่านั้นคือนิพพาน นี่อันนี้ต่างหากที่ว่าเป็นฮินดู

ฮินดูคือว่าดูจิตเข้าไป มันไม่มีปัญญา แต่เขาบอก เขาใช้ปัญญากันแล้วนะ ที่เขาคิดนั่นมันเป็นปัญญา มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันเป็นปัญญาเปลือก มันไม่ใช่ปัญญา คำว่าปัญญาของเขาคือจอภาพ เห็นจอภาพขึ้นมาจากโปรแกรมนั้น เราไม่เห็นโปรแกรมนั้น เราเห็นแต่จอภาพ โปรเจคเตอร์มันขึ้นมาเห็นไหม เวลาเล่นคอมพิวเตอร์นี่มันขึ้นมา เราเห็นที่จอภาพนั้น แล้วเราเห็นที่จอภาพนั้นแล้วเราแก้ไขอะไรได้ๆ

นี่ก็เหมือนกัน ปัญญาที่เราคิดกันว่าเราได้ใช้ปัญญากันแล้วนี่ มันเข้าไม่ถึงไง เราถึงบอกว่ามันมีปัญญาวิมุตติ ปัญญาวิมุตตินี่มันต้องมีสมาธิ มันถึงจะเข้าไปถึงตัวจิต แล้วมันจะเข้าไปชำระกิเลสที่ตัวจิตนั้น นี่คือปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติ มันก็เป็นตัวจิตนั้น ธรรมดาวิมุตติไม่มี ตอนนี้มันเป็นธรรมดาวิมุตตินะ เป็นธรรมดา ธรรมดาแล้วก็วิมุตติกัน มันเป็นไปไม่ได้หรอก สิ่งนี้มันเป็นไปไม่ได้

ทีนี้คำว่าเป็นไปไม่ได้มันก็อีกล่ะ เวลาเราปฏิบัติกันนะ มันจะมี คิดดูสิ ขนาดว่าเรื่องอดีตชาติ มีพระหลายองค์ที่เราไปเจอมา เขาบอกว่าเขาเคยกลัว แล้วเขาจับความกลัวได้นี่ เขาเป็นพระอนาคา แล้วเขาพามาหาเรา เราก็อธิบายให้เขาฟัง

เราบอกไม่ใช่ พระอนาคานี่ มันต้องแก้กามราคะ สิ่งที่กามราคะนี่ โอฆะนี่มันเกิดมาจากใจ จิตมันต้องมีมหาสติ มหาปัญญาเข้าไป พอมันจับสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม ได้นี่ มันเห็นเป็นอสุภะ เห็นเป็นกามฉันทะ กามฉันทะคือความพอใจ คือมีตัวตน ถ้ามีตัวตน มีสถานที่ มันถึงเกิดกามราคะ ถ้าไม่มีกามฉันทะ ไม่มีสถานที่ ไม่มีเรา มันจะเกิดกามที่ไหน

กามจะเกิดบนอากาศเหรอ กามนี่มันจะไปเกิดบนวัตถุเหรอ กามมันเกิดที่ไหน กามมันเกิดจากเรา เกิดจากความพอใจ เกิดจากกามฉันทะ แล้วถ้ามันชำระตรงนี้ มันถึงเป็นพระอนาคา พออธิบายให้เขาฟังปั๊บนะ เขาเข้าใจตรงนี้ไม่ได้ เขาบอกอย่างนั้นเขาเป็นพระสกิทา

เราบอกว่า พระสกิทานี่ จิตมันต้องสงบเข้ามา พอจิตสงบเข้ามาแล้วนี่ มันพิจารณากาย จนกายนี่แยกออกไปเห็นไหม กายเป็นโพธิ จิตเป็นกระจกใส กายกับจิตนี่แยกออกจากกันโดยธรรมชาติ นี่กายเป็นโพธิ คือร่างกายนี่มันแยกของมันออกไป

ดูหลวงตาเวลาท่านพูด ท่านอธิบายของท่านเห็นไหม ท่านพิจารณากาย พิจารณากายนี่ มันสู่สภาพเดิม สู่สภาพเดิมคือจิตมันเห็นกาย ก็พิจารณากาย กายมันจะแปรสภาพ น้ำระเหยขึ้น สิ่งที่มันเป็นดิน มันจะเป็นดินไป ไฟส่วนเป็นไฟ ลมกระจายออก แยกตัวออกไป นี่ สิ่งที่มันเป็นธาตุ ๔ นี่ มันคืนสู่สภาพเดิม นี่กาย! แยกออกไป

สิ่งที่มันเป็นนามธรรม ที่มันติดข้องอยู่ในนี้ มันจะสลัดตัวมันเองออกมา ให้มันสะอาดไป เพราะนี่ ถ้าเป็นพระสกิทานี่กายกับจิตต้องแยกออกจากกันโดยธรรมชาติ จิตนี้ราบเป็นหน้ากลอง ถ้าอย่างนั้นผมเป็นพระโสดาบัน เขาว่านะ

เราบอกพระโสดาบันนี่ก็ไม่ใช่ เพราะความกลัวนี่มันเกิดดับ พระโสดาบันส่วนพระโสดาบัน พระโสดาบันต้องพิจารณากาย พิจารณาขันธ์ ขันธ์ มายึดกาย พิจารณาจนเห็นสักกายทิฏฐิ พอกายมันปล่อยแล้ว ถึงเป็นพระโสดาบัน อย่างนั้นผมไม่ได้เป็นอะไรเลย

เพราะเขาเกิดความกลัวขึ้นมา แล้วเขานั่งสมาธิ ความกลัวหายไป เขาเข้าใจว่าเขาเป็นพระอนาคา ก็ความกลัวนี่ แล้วความกลัวของเรามันเกิดดับใช่ไหม อย่างเช่นเรากลัวผีนี่ กลางคืนนี่เรากลัวผีมากเลย พอจุดไฟสักพัก เราหายกลัวผีไหม เราเป็นพระอนาคากันแล้วนะ นี่ดูความเข้าใจผิดของผู้ที่ปฏิบัติสิ

คนที่ปฏิบัตินี่ ความเข้าใจผิดของตัว แค่เห็นความกลัวขึ้นมา แล้วแทงความกลัว ก็ว่าตัวเองมีมรรคมีผล นี่ในการปฏิบัติในปัจจุบันนี้ มันจะเป็นอย่างนี้นะ มันจะเป็นอย่างนี้เพราะเรา เราตรึกในธรรมะไง เราเข้าใจในธรรมะใช่ไหม พอเราเข้าใจในธรรมะนี่ เวลาเราสงสัย เราก็มีความสงสัย เวลาเราใช้ปัญญา สมองเรา หรือความรู้สึกเรามันเข้าใจ ตอบโจทย์ได้ทั้งหมด มันก็ปล่อยหมดเลย

เราก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม เห็นไหม ไม่ใช่ มันเป็นสามัญสำนึก มันเป็นเปลือก นี่ถ้าอย่างนี้ปั๊บนี่ ถ้าเราเลาะอย่างนี้เข้าไปเรื่อยๆ แล้วนี่ ฮินดู ฮินดูคือเข้าไปสู่จิตเดิมแท้ คือมันสงบเข้ามาเฉยๆ มันหดสั้นเข้ามาเฉยๆ ไม่ได้ชำระอะไรเลย

แต่ถ้าเป็นปัญญาวิมุตติ จิตสงบเข้ามา แล้วจิตออกรู้สติปัฏฐาน ๔ จิตมันแก้ไขหมด นั่นถึงเป็นปัญญาวิมุตติ

เจโตวิมุตติ จิตสงบ เจโตวิมุตติคือสมาธิอบรมปัญญา ปัญญาวิมุตติ คือ ปัญญาอบรมสมาธิ เจโตวิมุตติคือสมาธิอบรมปัญญา ปัญญาวิมุตตินี่มันมาทางสายของพระสารีบุตรเห็นไหม ปัญญานำ คือใช้ปัญญาใคร่ครวญเข้าไป จนจิตสงบเข้ามา จิตไม่สงบไม่ได้! จิตไม่สงบหน่วยกิจ ๗ หน่วยกิจของศาสนาพุทธนี่มันหน่วยกิจ ๘ มันคือมรรค ๘

มรรค ๘นี่คือ หน่วยกิจ ๘ ต้องมีครบ ๘ แต่ถ้ามันตัดสมาธิทิ้งไป หน่วยกิจมันมีอยู่ ๗ หน่วยกิจ ๗หน่วยกิจนี่สอบไม่ผ่าน เป็นไปไม่ได้! มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทั้งสิ้นเลย หน่วยกิจต้องครบหมด ทีนี้หน่วยกิจมันไม่ครบนี่เราไปปฏิเสธมันเอง เราไปตัดทิ้งเอง

พอเราตัดทิ้งเองเพราะความเข้าใจว่า เสียเวลา ความเข้าใจว่า เราไม่จำเป็นต้องใช้ ความเข้าใจว่า นี่ไง ถ้าอาจารย์ไม่เป็นนะ อาจารย์ไม่เป็นสอนผิดหมดเลย แล้วในการประพฤติปฏิบัติ นี่นะหลวงตาท่านเล่าให้ฟัง ซึ้งมากนะ ท่านบอกท่านไปอยู่กับหลวงปู่มั่นใหม่ๆ จิตมันเสื่อม พอจิตมันเสื่อมมันเคยภาวนาได้ไง แล้วจิตมันเสื่อม มีความทุกข์มากนะ มีความทุกข์มาก

ธรรมดาเราเป็นลูกเนาะ มีพ่อแม่ก็ไปออดอ้อน ลองเป็นลูกสิ มีพ่อแม่ก็.. แม่ของตังค์ อันนี้ก็เหมือนกัน เรามีครูบาอาจารย์นะ เวลาจิตมันเสื่อม พอจิตเสื่อมก็ไปหาหลวงปู่มั่น ท่านพูดนะ นี่คนปฏิบัติเหมือนเด็กๆ นะ จิตเหมือนเด็กๆ จริง การประพฤติปฏิบัติมันจะมีตรงนี้

ตัวเองเพราะยังเด็กอยู่ พอเริ่มปฏิบัติใหม่ เป็นมหาแล้วนะ ออกปฏิบัติแล้วนะ พอจิตเสื่อมแก้ไม่เป็น พอไปหาหลวงปู่มั่นนะ ไปถามท่าน “ทำไมนะ นี่จิตมันเสื่อม” “โอ้ จิตมันเสื่อมเหรอ” นี่พ่อแม่เอ็นดู แล้วลูกน้อยนะ

“อ๋อ จิตมันเสื่อมนะ จิตมันเหมือนเด็กๆ เด็กๆ นะ เด็กๆ จิตมันต้องกินอาหารนะ ตอนนี้จิตมันเหมือนเด็กๆ มันออกเที่ยว มันเร่ร่อน มันก็เลยเสื่อมไป ไม่ต้องไปตามมันหรอก เอาอาหารไว้ เหมือนเอาขนมล่อมันนะ พอมีขนมปั๊บ พอเด็กมันหิว เดี๋ยวมันจะกลับมากินขนมเอง”

ทีนี้ เราก็ไม่ต้องไปตามจิต ถ้าจิตเสื่อมไปตามจิต มันจะไม่ได้จิตหรอก ให้กำหนดพุทโธๆ ไว้ เหมือนเอาอาหารที่จะล่อเด็กนะ พุทโธๆ พุทโธๆ พุทโธๆ พุทโธๆ พอ พุทโธๆ พุทโธๆ ไปเรื่อยๆ นะ เหมือนอาหารวางไว้นี่ เด็กมันหิวมันจะไปไหนล่ะ มันก็ต้องกลับมากินอาหาร พุทโธๆ พุทโธๆ ไปเรื่อยๆ ล่ะ

ทีแรกพอจิตมันเสื่อมเพราะอะไร จิตมันเสื่อมเพราะเราอยากได้จิต เราวิ่งไปแสวงหามัน มันก็ยิ่งส่งออกไป ทีนี้จะอธิบายมาก เพราะคนมันภาวนาไม่เป็น พอคนมันภาวนาไม่เป็น คนมันไม่มีเหตุผลนี่ อธิบายเข้าไป ยิ่งอธิบายเข้าไปมันก็ยิ่งงง แต่อธิบายเป็นรูปธรรม แบบเอาเด็กมาเป็นตุ๊กตา พอนึกภาพอย่างนั้นใช่ไหม ก็พุทโธๆ

พุทโธๆ คือขนม เราก็รักษาขนม ก็คือ พุทโธๆ พุทโธๆ จิตมันก็หดกลับเข้ามาที่เก่า มันก็เป็นความสงบ พอเราสงบขึ้นมา มันก็อยู่ของมันได้ แล้วพอท่านปฏิบัติไป ท่านเล่าให้ฟังเอง หลวงตาท่านเล่าให้ฟัง เราฟังแล้วมันซึ้งใจ แล้วท่านก็ซึ้งใจ

เพราะตอนที่เราเป็นเด็ก แล้วพ่อแม่สอนนี่ เด็กทุกคนนะ นั่งอยู่นี่ทุกคนนะ ไม่เถียงพ่อแม่ไม่มี พอพ่อแม่บอกอะไร เถียงทั้งนั้นล่ะ เถียงๆ เพราะมันยังไม่รู้ เถียงภาษาเด็กนะ นี่ก็เหมือนกัน พอบอกอะไรมันก็ยังเถียงของมันอยู่ มันยังคิดในใจอยู่ แต่พอปฏิบัติแล้วมันได้ แล้วตัวเราเองโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ เพราะปฏิบัติ มันเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปเรื่อยๆ

แล้วย้อนกลับไปดูตรงนั้นนะ มันเลยสังเวชไง นี่ปลงธรรมสังเวช สังเวชว่า ตอนที่เราเด็กอยู่ พ่อแม่รักเรามาก ท่านสอนเราด้วยความเมตตา ท่านสอนเราด้วยคุณธรรมเนาะ ท่านสอนให้เรา ไม่รู้ตัวเลย เห็นไหม นี่จิตมันออกไปเที่ยว มันต้องกินอาหาร รักษาอาหารไว้ เดี๋ยวมันต้องกลับมา

แล้วทำอย่างนั้น มันก็ได้ผล คือมันเห็นบุญเห็นคุณไง มันซึ้ง ซึ้งต่อเมื่อเราโตขึ้นนะ พอเราโตขึ้นนะ ทุกคนนะ เด็กๆ นี่นะ จะคิดว่าพ่อแม่ไม่รัก พ่อแม่เอ็ด แต่พอเราโตขึ้นมานี่ เรามีลูกมีเต้าขึ้นมานี่ มันเป็นไปได้ไหม ว่าพ่อแม่ไม่รักลูกนี่ มันเป็นไปได้ไหม มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ทำไมเราคิดกันอย่างนั้นล่ะ

เราคิดอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะว่ามันเป็นกิเลสของเราไง มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยที่ว่าพ่อแม่ไม่รักเรานี่ มันเป็นไปไม่ได้เลย แต่การแสดงออกนี่มันเป็นอย่างนั้น เป็นที่จริตนิสัย พ่อแม่บางคนเห็นไหม บางคนก็พูดจากับลูกนิ่มนวล ใช่ไหม บางคนนิสัยก็พูดกระโชกโฮกฮาก มันเป็นนิสัยของพ่อแม่นะ นิสัยไม่ใช่ความรัก นิสัยคือนิสัยนะ แต่ความรักในใจ มันเป็นเรื่องของความรักในใจ มันไม่ใช่นิสัย แต่เราไปดูกันไม่ออกไง เราไปดูกันที่นิสัยการแสดงออกไง เราไม่ได้ดูตรงที่เนื้อหาสาระ ที่ว่าท่านรักเราจริงหรือไม่รักเราจริง

นี่ก็เหมือนกัน พอจิตมันไปเห็นเข้า พอมันไปรู้เข้า แล้วมันโตขึ้นมานะ มันซึ้งมากนะ นี่เราจะย้อนกลับมาที่นี่ ย้อนกลับมาในการประพฤติปฏิบัติ ย้อนกลับมาที่ ถ้ามันมีครูมีอาจารย์คอยชี้นำนะ เรื่องภพเรื่องชาติ ถ้าเป็นพระที่ปฏิบัติ เป็นครูบาอาจารย์ที่ดี เคยผ่านการปฏิบัติมานี่ เรื่องนี้รู้ รู้แล้วนะ ไม่ใช่รู้ธรรมดานะ

หลวงปู่มั่นนี่รู้หมด ถ้ารู้แล้วนะ ควรพูด ไม่ควรพูด เวลาท่านเทศน์ หลวงตาท่านบอกเวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ ท่านเทศน์ถึงแต่เหตุ ไม่บอกถึงผล ถ้าบอกถึงผลแล้วนี่ ลูกศิษย์จะยึดที่ผลนั้น ดูสิ เรื่องนี้ เราก็คิด หลวงตานี่ ท่านนั่งตลอดรุ่ง นั่งตลอดรุ่ง พอนั่งตลอดนะ จิตมันลงดีมาก

แล้วพอจิตมันลงนี่ จิตมันลงนี่มันอย่างหนึ่งนะ แต่เวลากิเลสมันขาดนี่ มันขาดอีกอย่างหนึ่ง ขาดอันนั้นหนเดียว ทีนี้มีอยู่คืนหนึ่ง ท่านนั่งจิตลงหมดเลย จิตนี่แยกเลย กายเป็นโพธิ จิตเป็นกระจกใส แยกออกจากกันเลย เพราะทำอย่างนั้น นั่งตลอดรุ่ง นั่งตลอด ก็ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นไง

ขึ้นไปหา อธิบายให้ท่านฟัง ท่านก็ชม ชมมาก พอชมมากก็นึกว่าถูกต้อง ก็มันถูกอยู่แล้วนะ แต่คิดว่าจะเอาอีก คือการที่เราปฏิบัติ ขณะที่มันหนเดียวนี่ มันมีรสชาติต่างกับบ่อยมาก พอมันขาดแล้ว ก็อยากได้รสชาตินั้นอีก เพราะรสชาติมันฝังใจมาก ก็ไปถามหลวงปู่มั่นว่า

“จะเอาอย่างนี้อีก” หลวงปู่มั่นท่านพูดคำนี้ไง "จะบ้าเหรอ มันก็มีหนเดียวเท่านั้นล่ะ"

เวลาขาดนี่ เวลาเราทำอาหารสำเร็จแล้ว อาหารสุกแล้วนี่ อาหารที่สุกแล้ว จะทำให้สุกซ้ำอีกได้ไหม อาหารที่สุกแล้ว ก็คืออาหารที่สุกแล้วใช่ไหม เรามาอุ่นกิน มันก็อิ่ม มันก็คือการพิจารณาเท่านั้นเอง ท่านก็เลยเอ็ดว่า จะบ้าเหรอ มันก็มีหนเดียวเท่านั้นล่ะ ทำอย่างนี้มันก็เหมือนกับเรา เหมือนหลวงปู่มั่นที่ถ้ำสาริกา พอรวมลงปั๊บ หลวงปู่มั่นท่านไปเห็นยักษ์ที่ถือตะบองมา

หลวงตาที่พิจารณาอยู่ที่บ้านผือ มันก็ลงอย่างนี้เหมือนกัน แต่เห็นไหม ลง วิทยานิพนธ์คนละอัน คือลงเหมือนกัน กิเลสขาดเหมือนกัน แต่ผลบุญกุศลต่างกัน แต่อยากได้อีก ท่านก็บอกว่า มันก็มีหนเดียวเท่านั้นล่ะ มันไม่มีสองหรอก คำนี้นี่ไง คำว่ามีหนึ่งเดียว ก็หนึ่งเดียวเราได้แล้ว พอได้แล้ว เราก็รักษาจิตไว้ รักษาจิตไว้เฉยๆ มันก็เป็นความว่าง ติดสมาธิอยู่ ๕ ปี เพราะตัวเองทำอย่างนี้

แล้วคำพูดเห็นไหม นี่ คำ เวลาไปถามครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์นะท่านวินิจฉัยให้เรา แต่เราตีความผิด เราจับหลักนี้ผิด ติดสมาธิอยู่ ๕ ปี พอติดสมาธิ ๕ ปี ไปนี่ พอมันติด

๑. ติดสมาธิ ๒. ต้องทำอย่างมีพื้นฐานด้วย

ทีนี้พอติดสมาธิ ลูกเรานี่ เวลามันเข้าใจผิด ลูกเราพอมันเข้าใจผิดใช่ไหม พ่อแม่เข้าใจผิดได้ไหม พ่อแม่ไม่เข้าใจผิดหรอก แต่พ่อแม่ที่จะสอนลูกที่เข้าใจผิดแล้วนี่ จะกลับความเห็นผิดของลูกนี่จะทำอย่างไร นี่การแก้จิต

พอจะกลับความเห็นของลูกที่ลูกเข้าใจผิดไปแล้วนี่ แต่เราจะพูดให้ถอนความคิดนั้นนะ ก็หาจังหวะมาเรื่อย หลวงปู่มั่นนะ

“มหาจิตเป็นอย่างไร” “ดีครับ” “จิตเป็นอย่างไร” “ดีครับ”

จนถึงที่สุดนะ “ดีครับๆ นะ ดีอย่างนั้นมันจะนอนตายอยู่กับสมาธิอย่างนั้นเหรอ”

อันนี้เด็กที่เข้าใจผิด พอเข้าใจผิดก็บอก “อ้าว แล้วถ้าไม่นอนตายอย่างนี้ แล้วสัมมาสมาธิเป็นอย่างไรล่ะ”

เพราะสัมมาสมาธินี่ มันมีทางวิชาการมารองรับไง ว่านี่คือสัมมาสมาธิในมรรค ๘ ไง

“สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้า อย่างหนึ่ง สัมมาสมาธิของท่านอีกอย่างหนึ่งนะ”

นี่ความเข้าใจผิดของลูก จะต้องแก้ไขอย่างไร ให้ลูกนี่เข้าใจให้ถูก คือหงายภาชนะขึ้นมา พอหงายภาชนะขึ้นมาเห็นไหม พอหงายภาชนะขึ้นมาปั๊บนี่ออกใช้ปัญญา ก็ไปเจออสุภะ อสุภะ นั่นนะ อนาคามรรค

เนี่ยเวลาสอน เวลาตี เรานี่ขณะปฏิบัติ มันคำสอนของอาจารย์นี่ถูก ถูกในขั้นของขั้นนั้น แต่ขั้นต่อไป เราต้องก้าวเดินต่อไป แต่ความเห็นของเรานะ นี่ ปัญญาวิมุตติ-เจโตวิมุตติ มันจะมีระดับของมัน มีขั้นตอนของมัน ที่เราต้องพัฒนาการของมัน เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ไม่ใช่อยู่เฉยๆ ธรรมวิมุตติ ธรรมชาติวิมุตติ นอนอยู่กับมันแล้วเป็นธรรม เป็นไปไม่ได้! เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้!!

แล้วพอมันแก้ไขไป สิ่งนี้มันเข้าไป พอผ่านตรงนี้เข้าไป ถ้าพูดถึงจิตที่มันยังเข้าไปแก้กิเลสไม่ได้ มันก็จะไปเห็นข้อมูลและ จิตเดิมแท้นี่ผ่องใส ชัดๆ เลย จิตเดิมแท้นี่ผ่องใส นี่คือโปรแกรม จิตเดิมแท้นี่ผ่องใส แต่ขณะที่ออกมาข้างนอก มันเป็นขันธ์ พอเข้าไปถึงจิตเดิมแท้นี่ อย่างไรๆ ก็จะไปเจอ

“เรื่องภพเรื่องชาตินี่ทุกคนจะเข้าไปรู้ไปเห็น ต้องไปเจอเด็ดขาด จะต้องไปเจอของตัว”

แล้วพอไปเจอขึ้นมานี่ เจอแล้วเราไม่ตื่นกับมัน แล้วเราจะแก้ไขอย่างไร เพราะเจอแล้วนะ

“เห็นภพเห็นชาติแก้กิเลสไม่ได้ มรรคญาณเท่านั้นแก้กิเลส”

แต่เห็นภพเห็นชาติก็เพราะว่ามันเป็นข้อมูลเดิมเท่านั้นเอง ทีนี้มันอยู่ที่เดียวกัน แต่คนละเรื่องเดียวกัน การเห็นภพเห็นชาติอย่างหนึ่ง การแก้ภพแก้ชาติอย่างหนึ่ง ไปแก้ที่เดียวกันนั่นล่ะ ไปแก้ตรงโปรแกรมนั่นล่ะ แต่การรู้การเห็นอย่างหนึ่ง อันนั้นคือการเห็นอดีตชาติ การเห็นข้อมูล

แต่การไปชำระล้าง การไปแก้ไขสิ่งที่ใช้ข้อมูลนั้น อันนั้นเป็นเรื่องของการชำระกิเลส อันนั้นเป็นมรรคญาณ อันนั้นเป็นศาสนา ต้องทำกันอย่างนั้นนะ มันถึงจะเข้าไปถึงความจริงได้ ถ้าเข้าถึงความจริงได้ มันถึงเห็นความต่างไง นี่เวลาพูดอย่างนี้ เราก็คิดถึงผู้ที่ปฏิบัติเหมือนกัน ถ้าผู้ที่ปฏิบัตินะ แล้วเข้าถึงสัจจะความจริง มันจะเห็นตรงนี้ ถ้าผู้ที่เข้าไม่ถึงสัจจะความจริงนะ ไปเห็นภพเห็นชาติ เห็นฌาน เห็นอภิญญานี่ จะเข้าใจว่าตัวเองมีมรรคมีผล จะสำคัญตนว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ จะสำคัญตนนะ

เรานี่นะ เรากักตุนเห็นไหม น้ำมันนี่ ดูสิ ปตท. มันกักตุนนี่ เป็นกี่แสนๆ ลิตรล่ะ แล้วมันหมดไหม เราจะบอกว่าฌานสมาบัตินี่มันคือข้อมูล มันคือพลังงานนะ มันเหมือนน้ำมันนี่ น้ำมันนี่เราจะเก็บไว้ โดยที่ให้มันอยู่กับเราตลอดไปได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้หรอกมันเป็นไปไม่ได้ แต่น้ำมันนั่นนะ เราเอาไปขาย แล้วเราเอาเงินมาเก็บไว้ เราเก็บไว้ได้นะ

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เข้าไปรู้ไปเห็น ด้วยฌานสมาบัตินะ มันเป็นสิ่งที่มันแก้กิเลสไม่ได้ ถ้าขายขึ้นมา ทำประโยชน์ขึ้นมา มันถึงจะเป็นความจริงนะ นี่มันถึงเป็นประโยชน์

การไปรู้ไปเห็นก็เหมือนกัน รู้เห็นภพเห็นชาติ มันแยกออกเป็น มันแยกได้ว่าอันนี้มันเป็นพลังงาน แต่อันนี้มันเป็นปัญญา เห็นไหม เราไปอ่านของเขานี่ หนังสือที่เขาเขียนมา เขาบอกว่า มีสติตัวจริง สติตัวปลอม เราก็งงนะ สติตัวจริง สติตัวปลอมเห็นไหม สมมุติบัญญัติมันปลอมหมดนะ

ปัญญาที่เราใช้กันอยู่นี่ แปลว่าเป็นของจริงไหม ถ้าเป็นของจริงอยู่กับเราตลอดไปไหม ปัญญานี่เราต้องฝึกใช่ไหม ความคิดนี่ เราต้องฝึกอยู่ตลอดไหม สมาธิก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติไปแล้วนะ ถึงที่สุดวิมุตตินะ มันข้ามพ้นทั้งจริงและปลอม มันจะไปข้ามพ้นไง ทั้งจริงและปลอม ของจริงกับของปลอมนี่ ถ้าทางแร่ธาตุ มันจะเป็นของจริงของปลอม มันคนละชนิด

แต่ในการประพฤติปฏิบัติของเรา จิตดวงเดียว คิดถูกจริง คิดผิดปลอม มันมาจากไหน ไอ้จริงไอ้ปลอมนี่มันเปลี่ยนได้ จากจริงก็เปลี่ยนเป็นปลอมได้ จากปลอมก็เปลี่ยนเป็นจริงได้ จากจริงเปลี่ยนเป็นปลอมอย่างไร

จากจริงคือพลังงานนี่ตัวจริง ปัญญานี่ตัวจริง เดี๋ยวคิด พอใช้พลังงานไปมากๆ เข้า ความคิดมันก็เปลี่ยนแปลง พอเปลี่ยนแปลงนี่มันก็น้อยเนื้อต่ำใจ มันก็ท้อถอยนี่ปลอมแล้ว นี่มันแปลกที่ว่า จริงก็มาปลอมได้ ปลอมก็เป็นจริงได้ คำว่าจริงนี้มันยังไม่จริงแท้ จริงคือจริงชั่วคราว จริงคือ สัพเพ ธัมมา อนัตตา จริงคือสภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ จนถึงที่สุดแล้ว ข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว จริงและปลอม อันนั้นเป็นวิมุตติ พ้นจากบัญญัติ

ฉะนั้นเขาบอกว่า สติจริงสติปลอม ปัญญาจริงปัญญาปลอม มึงแบ่งจริงแบ่งปลอม มันก็เหมือนที่ว่านี่ บอกว่านี่เห็นไหม จิตนี้มาจากนรก จิตนี้มาจากสวรรค์ เราบอกว่า จิตดวงเดียวนี่แหละ มันเคยเกิดนรก มันเคยเกิดสวรรค์

พระโพธิสัตว์เห็นไหม เคยเวียนตายเวียนเกิด จิตดวงเดียวเรานี่ล่ะ มันขึ้นไปบนสวรรค์ก็ได้ หมดวาระมันลงนรกก็ได้ มันไม่มีจิตดวงไหนอยู่บนสวรรค์ตลอดไป

เหมือนกับจิตดวงเดียวนี่ ไม่เคยอยู่ในนรกเลย อยู่บนสวรรค์ตลอดๆเลย แล้วถ้ากรรมชั่วมันจะไปไหนล่ะ มันทำกรรมชั่วมันก็ลงนรกนะ แล้วจะบอกว่าจิตดวงนี้มาจากนรก ใช่ ถ้ามันพ้นจากกรรมนรก มันก็ขึ้นมาจากนรก จริงๆ นั่นล่ะ แต่กรรมดีเขาก็มี เขาเคยมาจากสวรรค์ก็ได้ ถ้าเขาดีเขาก็ไปสวรรค์ได้

จิตมันไม่คงที่ตายตัว แบบแร่ธาตุไง มันไม่คงที่ตายตัว มันเปลี่ยนแปลง มันพัฒนาการได้ มันทำให้บวกก็ได้ ทำให้ลบก็ได้ อยู่ที่การกระทำของเรา ทีนี้ ถ้าเรามีสติ เราทำสิ่งที่ดีๆ ขึ้นไปนี่ เราทำแต่สิ่งที่ดีๆ ดีๆ ตลอดไปตลอดไป จนถึงที่สุด ความดีนั้นละเอียดขึ้นไป

สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา เห็นไหม มันพัฒนาการของมัน ปัญญามันมีพัฒนาการของมัน ความรู้สึกมันพัฒนาการของมัน ขณะที่มันยังไม่พัฒนาการไปถึงที่สุด ความดีนี่มันเปลี่ยนแปลงได้ พอถึงที่สุดแล้วความดีคงที่ โสดาบัน สกิทา อนาคา อรหันต์นี่ คงที่ คงที่แบบว่ามารหาไม่เจอ คงที่ที่ว่าไม่มีใครเห็น แต่ถ้าที่ว่ามันจริง ปัญญาจริง ภพจริง ที่ว่าเกิดตายเกิดตายนี่ คงที่ที่เปลี่ยนแปลง คงที่ คงที่ที่เปลี่ยนแปลง แต่เวลาถึงที่สุดแล้ว คงที่ที่ไม่เปลี่ยนแปลง

นี้ถ้ามันปฏิบัติไป มันจะนี่ จากภพชาติ ภพชาติเป็นเรื่องภพชาตินะ แล้วภพชาตินี่ กรรมนี่เป็นอจินไตย มันละเอียด บางภพบางชาติมันซับมันซ้อนนี่ แล้วเราจะอธิบายให้ตายตัว เรื่องกรรม ถ้าไม่อย่างนั้นนะ ถ้าไม่ตายตัว ทำไมครูบาอาจารย์เราที่ว่า บางทีหมดอายุแล้ว ทำไมต่ออายุได้ ถ้ามันคงที่นี่ มันจะต่ออายุไม่ได้ ผู้ใด พิจารณาอิทธิบาท ๔ อยู่ จะอยู่ ๑ กัปก็อยู่ได้

อิทธิบาท ๔ ทีนี้ในพระไตรปิฎก

“ผู้ที่จะพิจารณาอิทธิบาท ๔ ได้จริง คือพระอรหันต์เท่านั้น”

อย่างพวกเราพิจารณาอิทธิบาท ๔ คือสัญญาเท่านั้น ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ดูจิต พอวิมังสาคือใคร่ครวญจิต แล้วเราใคร่ครวญอะไร ใคร่ครวญความคิด เราใคร่ครวญจิตเหรอ ไม่เคยเห็น

“ผู้ที่มีอิทธิบาท ๔ พิจารณาอิทธิบาท ๔ ด้วยความชำนาญ ด้วยความถูกต้อง มีพระอรหันต์ เท่านั้น”

ต่ำจากพระอรหันต์ เข้าไม่ถึงตัวจริง พิจารณาแต่เงาของมัน ไม่ถึงตัวจริง ถึงจะอยู่อีกกัปหนึ่งไม่ได้ จะทำอย่างพระอรหันต์ไม่ได้ พระอรหันต์จะทำอย่างนั้นได้ เพียงแต่ จะทำหรือไม่ทำเท่านั้น เอวัง